วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สมุนไพรไทย Aromatherapy อโรม่ารักษาสิว น้ำมันหอมระเหยที่ยับยั้งเชื้อ P.acnes



มีเรื่องเล่า คืออยากรู้ว่าน้ำมันหอมระเหยอะไรบ้าง ที่มันช่วยรักษาสิว นี่ไปเจองานวิจัยอันนึงมา ของ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ที่ตีพิมพ์ลง The International Journal of Aromatherapy  เค้าทดสอบฤทธิ์ของน้ำมันระเหยง่าย จากพืชสมุนไพรไทย 7 ชนิด ได้แก่ ตะไคร้บ้าน ตะไคร้หอม มะกรูด กระเพรา โหรพา ไพล ขิง โดยใช้วิธิ disc diffusion method ก็คือ เอาแผ่น disc เนี่ย ไปจุ่มสารละลายที่มีน้ำมันระเหยง่ายจากสมุนไพร แล้วมาวางลงบนจานเพาะเชื้อที่มีเชื้อ P.acnes ซึ่งเป็นเชื้อที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวที่ทุกท่านไม่พึงปรารถนา จากนั้นก็นำไปเพาะเชื้อ เพื่อวัดระยะห่างระหว่างแผ่นdisc ที่มีสาร กับบริเวณที่เชื้อขึ้น ถ้าเชื้อไม่ขึ้นกว้างออกไปเท่าไหร่ แสดงว่าสารนั้นต้านเชื้อ P.acnes ได้ดีเท่านั้น ผลการทดลองก็พบว่า ที่ ความเข้มข้นของ Essential oils 0.25% V/V และ0.5% V/V  มีตะไคร้บ้าน กับมะกรูด ที่ยับยั้งเชื้อได้ และที่ความเข้มข้น มากกว่า 1% ตะไคร้หอม กระเพรา โหรพา ก็ยับยั้งได้ ส่วนไพลและขิง ไม่สามารถยับยั้งได้ ที่2% ต้องใช้ความเข้มข้นสูงกว่านื้ทดสอบด้วยอีกวิธี จากที่ดูคร่าวๆเราก็พอเรียงความสามารถในการจัดการเชื้อ P.acnes  อันดับหนึ่ง มะกรูด ตามด้วยตะไคร้บ้าน ส่วน ตะไคร้หอม กระเพรา โหรพา พอๆกัน ไพล ขิง ยังไม่เห็นฤทธิ์ที่2%

                จากงานวิจัยนี้เราทราบเพียงว่า มันยับยั้ง P.acnes ได้นะ ซึ่งอาจยับยั้งสิวที่เกิดจาก P.acnes ได้ แต่สิวมีหลายประเภท หลายสาเหตุ หากเกิดจากสาเหตุอื่น ก็อาจจะไม่ช่วย อีกทั้งตามผลการทดลอง เปอร์เซ็นต์ต่ำสุด 0.25% ซึ่งก็ค่อนข้างเยอะ หากใช้เปอร์เซ็นต์ยิ่งสูงยิ่งเสี่ยงต่อการระคายเคือง ก็ต้องระมัดระวัง ในการใช้ ยิ่งถ้าเป็นน้ำมันหอมระเหย ตระกูลส้ม อย่างมะกรูด หรือจำพวกขิง ควรได้จากการกลั่น เนื่องจากจะไม่มีสารที่ทำให้ผิวไวต่อแสงได้ ที่มาของน้ำมันระเหยง่ายแต่ละแหล่ง อาจมีสารออกฤท์ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ สภาพสิ่งแวดล้อมที่ปลูก อายุที่เก็บเกี่ยว นอกจากนี้งานวิจัยนี้งานวิจัยนี้ยังเป็นงานวิจัยที่ทำในหลอดทดลอง มิใช่บนผิวมนุษย์จริงๆ ซึ่งควรมีการศึกษาเพิ่มเติม


จริงๆผู้วิจัยใช้สองเทคนิคทดลองนะ แต่อันนี้หยิบมาอธิบายคร่าวๆอันเดียว และมีการทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การต้านการอักเสบด้วย สนใจอ่านงานวิจัยฉบับเต็ม คลิกลิงค์ด้านล่างเลยจ้า
https://www.google.com/urlsa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=1&cad=rja&uact=8&ved=0CCQQFjAA&url=http%3A%2F%2Fwww.researchgate.net%2Fpublication%2F238635275_In_vitro_bioactivities_of_essential_oils_used_for_acne_control%2Flinks%2F00b7d5226efca5cf3c000000&ei=wZJVP6DDYSrmAXcyoLYAw&usg=AFQjCNFHMRBfOkFT5lF2rbPYdCd_8cDajQ&sig2=RTP-eRwzm7FIwjlFvhL-EA&bvm=bv.77880786,d.dGY








วันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความอ้วนทำร้ายผิวพรรณอย่างไร

ความอ้วนทำร้ายผิวพรรณอย่างไร



     ความอ้วนนั้นจัดเป็นโรค ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลายอวัยวะในร่างกาย หนึ่งในนั้นคือ ผิวหนัง มาดูกันค่ะว่า อ้วนแล้วทำร้ายผิวได้อย่างไรบ้าง

     ไล่ตั้งแต่ชั้นนอกสุดคือชั้นปกป้องผิว พบว่าในคนอ้วนจะสูญเสียความแข็งแรงของชั้นปกป้องผิวไป ผิวสูญเสียความสามารถในการอุ้มน้ำ ส่งผลให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น ระคายเคืองหรือแดงง่าย ในขณะที่เซลล์ผิวหนังจะมีความเหนียวและเกาะตัวกันมากขึ้น ส่งผลให้การผลัดเซลล์ผิวไม่ดี ผิวพรรณจึงแลดูไม่สดใส

     ระบบเลือดฝอยเล็กๆที่มาเลี้ยงผิว หรือที่เรียกว่า Microcirculation ซึ่งเปรียบได้กับหัวฉีดน้ำที่คอยรดให้ความชุ่มชื้นกับผืนหญ้า จะไหลเวียนไม่ดีเท่ากับในคนผอม ส่งผลให้เลือดมาหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวได้ไม่ดี การหายของแผลในคนอ้วนจึงไม่ดีเท่ากับในคนผอม

     ถัดเข้ามาที่ต่อมไขมัน พบว่าในคนอ้วนจะมีความผิดปกติของฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศ) และฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น หน้าจึงมันและเป็นสิวง่าย (ผิวแห้งไม่ชุ่มชื้น แต่ก็มัน และเกิดสิวง่ายไปพร้อมๆกัน) และในบางคนยังอาจมีขนดกขึ้น หรือที่เรียกว่า ภาวะ hirsutism ได้อีกด้วย

     ในผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน ร่วมกับซิสต์ที่รังไข่ จะมีปัญหาหน้ามัน ขนดก และสิวขึ้นมากผิดปกติเป็นลักษณะเด่น ซึ่งอาการทั้งหมดจะดีขึ้นได้หากลดน้ำหนักได้สำเร็จ

     นอกจากการเปลี่ยนแปลงของผิวข้างต้นแล้ว ยังมีโรคผิวหนังที่มักมากับโรคอ้วนอีกมากมาย เช่น รอยดำที่คอหรือข้อพับต่างๆ ขนคุด เซลลูไลท์(ผิวเปลือกส้ม) รอยแตกลาย ติ่งเนื้อ เป็นต้น

     สรุปแล้วความอ้วนจัดเป็นศัตรูของผิวตัวฉกาจ การลดน้ำหนักได้จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้สุขภาพภายในดี แต่ยังช่วยให้สุขภาพผิวพรรณภายนอกดูดีขึ้นตามไปด้วย ความแข็งแรงของผิวจะดีขึ้น ความมันบนใบหน้าจะลดลง ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้น รอยดำตามข้อพับจางลง รวมไปถึงขนคุดและเซลลูไลท์ก็ดูดีขึ้นได้โดยไม่ต้องเสียเงินมากมายไปทำเลเซอร์ตามสถานเสริมความงาม

      รู้อย่างนี้แล้ว ... เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ เริ่มต้นที่ใจของคุณเองกันเถอะค่ะ


พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล (หมอผิง)
Twitter: @thidakarn
http://www.raipoong.com/content/detail.php?section=&category=&id=284

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ส่วนผสมไม่ปลอดภัย ที่มักพบในเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน






ส่วนผสมไม่ปลอดภัย ที่มักพบในเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน

                ในยุคที่ใครๆก็ทำเครื่องสำอางขายได้ เพียงมีเงินไม่กี่พันบาท ก็ขายเครื่องสำอางได้แล้ว อีกทั้งผลตอบแทนก็ทำให้เป็นเศรษฐีกันไปเยอะแยะมากมาย ทำให้เครื่องสำอาง มีมากมายหลากหลายยี่ห้อ เกลื่อนตลาด แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คือ สารต้องห้ามที่ใช้ในเครื่องสำอาง สมัยก่อนมักพบตามตลาดนัด เป็นกระปุกธรรมดาๆดูตลาด ราคาเพียงหลักสิบบาท เราก็เลือกง่ายแค่ราคาถูกเกินไป กระปุกดูเถื่อนๆ ก็เลี่ยงๆ ปัจจุบัน กระปุกและบรรจุภัณฑ์สวยงาม แทบเคียงแบรนด์ดัง ในราคาที่แทบไม่ต่างกับแบรนด์เคาเตอร์ก็มี แต่สารที่ใช้ก็ยังคงไม่ต่างจากตอนกระปุกละสิบบาทตลาดนัด อย่าง ไฮโดรควิโนน ปรอท กรดวิตามินเอ และ เสตียรอยด์  เรามาดูกันทีละตัวดีกว่า ว่าทำไม ถึงเป็นสารต้องห้าม

                1.ไฮโดรควิโนน ไฮโดรควิโนนเป็นยารักษาฝ้าที่เก่าแก่มากๆและได้ผลดีมากๆตัวนึง ซึ่งการทำงานของมันก็คือการยับยังเป็นสีผิว แต่ด้วยฤทธิ์ที่รุนแรงจนเกินไป ทำให้มันเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดสีผิว ผลที่ตามมาคือ พบผู้ที่ใช้ กลายเป็นด่างขาวแทน ซึ่งแน่นอน รักษาไม่หาย ถ้ามันขาวไปทั้งหมดก็นับว่าดี แต่กระดำกระด่างเป็นจุดๆ เราว่าไม่งามแน่ๆ ด้วยเหตุนี้เอง จึงกลายเป็นสารต้องห้ามไปตามระเบียบ

                2.กรดวิตามินเอ กรดวิตามินเอ ออกฤทธิ์โดยการเร่งการผลัดเซลล์ผิว ผลลัพธิ์คือ ผิวขาวใส ผิวเนียน รอยแผลเป็น รอยดำจางลง ฝ้าจาง สิวหาย แต่ด้วยฤทธิ์ที่ดีเลิศ แน่นอนว่าผลเสียก็มี กรดวิตามินเอ ทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น อาจทำให้เกิดการระคายเคือง ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ถูกวิธี ควรอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญ จึงทำให้เจ้ากรดวิตามินเอ ถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มของ ยาอันตราย ซึ่งต้องจ่ายโดยแพทย์ หรือเภสัชกรเท่านั้น ยี่ห้อที่เราคุ้นหูก็ เรตินเอ RetinA นี่หล่ะ

                3.สารประกอบปรอท อย่างปรอทแอมโมเนีย ตัวนี้ขาวเวอร์ขาวไวจริงๆ แต่อันตรายของมันช่างใหญ่หลวงนัก ปรอทเป็นโลหะหนัก ซึ่งเมื่ออยู่ในรูปของปรอทแอมโมเนีย สามารถซึมเข้าผิวและเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกายได้ดี ปรอทในปริมาณน้อยๆใด้รับต่อเนื่องจะเกิดพิษเรื้อรัง ทำอันตรายต่อระบบประสารทส่วนกลาง ทั้งสมองและไขสันหลัง ส่งผลต่อส่วนที่ควบคุมการพูด การเคลื่อนไหว ระบบประสาทความรับรู้ เช่นการได้ยิน มองเห็น ชัก คุ้มคลั่ง นอกจากนี้ยังทำลายไต อาการเหล่านี้ก็คือโรค  มินามาตะ  เคยมีข่าวเด็กผู้หญิงที่ซื้อครีมทาขา หวังผลขาวลดรอยแตกลาย พบว่าครีมมีส่วนผสมของปรอทแอมโมเนีย ด้วยความที่น้องทาขา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กว้าง ทำให้ได้รับสารปรอทไปเป็นปริมาณมาก เกิดพิษเฉียบพลัน ไตวายและเสียชีวิตในที่สุด

                4. เสตียรอยด์ เสตียรอยด์เป็นสารกลุ่มที่พบในเครื่องสำอางได้บ่อยมากๆอีกตัวนึง มักพบร่วมกับสารตัวอื่น เช่น ปรอท ไฮโดรควิโนน และกรดวิตามินเอ เนื่องจากสารทั้งสามตัวที่กล่าวมา ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย เสตียรอย ซึ่งมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงทำให้ใช้ครีมเหล่านั้นได้โดยหน้าไม่พังในช่วงแรก อย่างที่บอกว่าเสตียรอยด์ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน ต้านการอักเสบ ทำให้สิว ฝ้า หายได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังกดการทำงานของเม็ดสีผิวอีกด้วย เมื่อใช้ไประยะนึง จะต้องเพิ่มขนาดการใช้ไปเรื่อยๆ ผิวจะอ่อนแอลงเรื่อยๆและเมื่อหยุดใช้ จะพบว่าหน้าจะพังแหลกจนไม่มีชิ้นดี นั่นเป็นเพราะภูมิคุ้มกันเราอ่อนแอจนต้านทานอะไรไม่ได้แล้ว ใช้อะไรก็สิว ใช้อะไรก็แพ้ การรักษาก็ลำบากยากเย็นมาก กว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม นอกจากนี้การใช้ปริมาณมากๆนานๆ ก็ทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย เพราะซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตได้ กดการทำงานของต่อมหมวกไต ทำให้สมดุระบบฮอร์โมนเปลี่ยนไป ขนขึ้นมากผิดปกติ ผิวหนังฝ่อ เกิดจ้ำลือดใต้ผิว ผิวแตกลาย สิวเสตียรอยด์ ผิวติดเสตียรอยด์ แต่ที่เสตียรอยเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากส่วนใหญ่ตอนใช้ หน้าจะดีขึ้นในชั่วข้ามคืน ต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือนกว่าจะเห็นผลเสีย มักมีปัญหาเมื่อหยุดใช้ หรือเปลี่ยนไปใช้ครีมอื่นแล้วหน้าพัง ก็อาจเข้าใจผิดไปว่าเป็นเพราะครีมอื่นได้อีกเช่นกัน นอกจากนี้ เสตียรอยด์ยังเป็นสิ่งที่ตรวจพบได้ยาก เสตียรอยมีเป็นร้อยเป็นพันชนิด ที่นิยมใช้ก็มีนับสิบชนิด แต่วิธีการตรวจเบิ้องต้นแบบง่ายๆอย่าง Strip test (จุ่ม หรือหยด แล้วอ่านผล)ไม่มี ชุดคิท ที่ใช้ทดสอบ ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก็ใช้วิธีการรันโครมาโตกราฟฟี่ เทียบกับสารมาตรฐาน ซึ่งถ้าไม่ได้ใช้ ตรงกับสองตัวที่เป็นสารมาตรฐานในชุดทดสอบเราก็จะไม่เจอ การตรวจจึงต้องทำให้ห้องปฏิบัติการและใช้เครื่องมือที่ค่อนข้างยุ่งยาก  แต่ก็ใช้ว่าเสตียรอยจะเป็นผู้ร้ายรุนแรง เค้าก็มีความเป็นพระเอก เสตียรอยทาผิวใช้สำหรับอาการผื่นแพ้ ที่ไม่ได้เกิดจาการติดเชื้อ เช่น ผื่นจากการสัมผัสหญ้า เป็นต้น เสตียรอยจะช่วยลดอาการคัน ลดการอักเสบ ทำให้ผื่นหายไร้ร่องรอยได้อย่างรวดเร็ว ควรใช้เป็นระยะเวลาสั้นๆไม่เกิน7วัน เสตียรอยด์ในรูปยาใช้ภายนอก จัดเป็นยาอันตราย ซึ่งต้องจ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้นครับ

                จะเห็นได้ว่าการจะให้สารอะไรเป็นสารต้องห้ามในทางกฎหมาย ต้องมีเหตุผลเสมอครับ ทั้งนี้ก็เพื่อคุ้มครองพวกเราให้ปลอดภัย แต่อย่างไรก็ตาม ความหอมหวานของผลตอบแทนในธุรกิจนี้มันก็ยั่วยวนจนมีคนเลวไม่น้อยที่กล้าท้าทายกฏหมาย ขายเครื่องสำอางที่มีสารเหล่านี้ เราเองควรสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ด้วยการใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อเครื่องสำอาง หมั่นตรวจสอบข้อมูลจากเว็บไซท์ของสำนักงานอาหารและยา ว่ามีสินค้าใดพบสารเหล่านี้แล้วบ้าง หมั่นอัพเดตความรู้อย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถปลอดภัยจากการเลือกซื้อเครื่องสำอางได้แล้วครับ