วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ข้าวเหนียวสังขยา หม้อหุงข้าว แปลกดีมั๊ยล่ะ

        ร้อนๆหนาวๆ ฝนตกๆ นึกครึ้มใจอะไรไม่รู้ อยากกินข้าวเหนียวสังขยา รี้วัตถุดิบ ดูดีกว่า พอทำได้ป่าว ว่าแล้วก็พบว่าขาดน้ำกระทิ และ ใบเตย จะตีหนึ่งแล้ว คงไม่ไปหาแล้ว งั้น แบบนี้นะ ไปดูกัน 


ส่วนผสม
ไข่ไก่ 1 ฟอง 
นมถั่วเหลือง 1 กล่อง 
ข้าวเหนียว 1 ถ้วยตวง 
น้ำตาลปึก หรือน้ำตาลปี๊บ หรือ น้ำตาลมะพร้าว  30 กรัม  (สองช้อนโต๊ะ ได้มั้ง)
น้ำตาลทราย 
เกลือ นิดหน่อย 



จัดการเอาหม้อหุงข้าวมา ใส่ข้าวเหนี่ยว ล้างๆ แล้วเติมน้ำ โดยอัตราส่วน ข้าวเหนียว1 ถ้วยตวง น้ำ 1 ถ้วยตวง ตั้งรอไว้แป๊ป 



มาทำสังขยา ตอกไข่ใส่ลงไป แล้วก็ใส่นมถั่วเหลืองลงไป จากนั้นก็ ตีๆๆๆๆ ให้เข้ากัน 





ค่อยใส่น้ำตาลมะหร้าวลงไปละลายให้หมด เป็นอันใช้ได้ ใครอยากให้เนื้อเนียนก็เอาไปกรอง ส่วนตัวกัส เป็นเด็กขี้เกียจ 555 





พร้อมแล้วจัดการดังนี้ ตั้งหม้อหุงข้าว แล้วเอาถ้วยสังขยาใส่ไปตรงกลาง ถ้วยใส่สังขยาใช้ความกว้างน้อยแต่ความสูงเยอะๆนะครับปิดฝา กดปุ่ม สำคัญมากที่การกดปุ่ม ถ้ามลืม ไม่น่าจะได้กิน 555 


ระหว่างรอมาทำน้ำไว้มูลข้าวเหนียวดีกว่า เริ่มด้วย นมถั่วเหลือง น้ำตาลทราย เกลือเล็กน้อย คนให้ละลายเข้ากัน รอข้าวเหนียวสุก


เย้ๆๆ ดีดแล้ววว เปิดดูก็จะพบแบบนี้ น้ำลายมารอละ ยกถ้วยสังขยาออกก่อน 



ใส่นมถั่วเหลืองผสมน้ำตาลและเกลือที่เราเตรียมไว้ ลงไปคนให้เข้ากัน แบบนี้ปิดฝาทั้งไว้ 10-15 นาที 




เปิดฝามา ข้าวเหนียวมูลพร้อมแล้ววว  


ตักใส่จาก แปะด้วยสังขยา แล้วก็ ^^ ขั้นตอนนี้ไม่ต้องบอก 555 


         รสชาดก็ไม่ได้อร่อยหวานมันแบบใช้น้ำกระทินะครับ ออกกลิ่นถั่วเหลือง ใครไม่ชอบก็ใช้สูตรนี้ วิธีทำนี้ แต่เปลี่ยนกลับเป็นน้ำกระทิ   เถอะครับ ผมว่ารสชาดนี้คงมีแต่ผมคนเดียวที่ทานได้ 555
         เอาหล่ะครับ ขนมไทยๆไม่ได้ทำยากอย่างที่คิด อุปกรณ์ก็ไม่ได้มีอะไรหายากสำหรับเด็กหอ แค่หม้อหุงข้าว ที่คงจะมีกันทั้งนั้น อยากได้สูตรอะไรก็ขอมาได้นะครับ ไว้จะลองเสี่ยงทำให้ดู 
         ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามบล็อคของกระผม ราตรีสวัสครับ ^^


Gusstation
คุยกับพ่อครัว กดไลค์

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

มะหาดขาวจริงหรือ?? ย้ำชัดๆกันอีกรอบ


          กระแสของผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างว่ามีสารสกัด “มะหาด” เป็นส่วนผสมช่วยให้ผิวขาว มาแรงมากในขณะนี้ เว็บไซต์หลายแห่งโฆ    ณาขายสินค้ากันอย่างโจ่งครึ่ม  ทั้งครีม โลชั่น เซรั่ม หัวเชื้อมะหาด บางแห่งได้นำข่าวที่นักวิจัย 2 ท่านจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อหลายปีก่อนมาแปะบนหน้าเว็บไซต์เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หนึ่งในนั้นมีชื่อ รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ภาคภูมิ เต็งอำนวย  ภาควิชาวิทยาการเภสัชกรรมและเภสัชอุตสาหกรรมคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อยู่ด้วย มาฟังคำชี้แจงจากปากของท่านในเรื่องนี้กันเลยดีกว่า

          รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ภาคภูมิ  กล่าวว่า  ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน มีแดดตลอดทั้งปี ธรรมชาติของคนไทยส่วนใหญ่จึงมีสีผิวที่สอดคล้องกับภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมคือสีผิวจะออกน้ำตาลอ่อนจนถึงเข้ม  อย่างไรก็ดี กระแสความนิยมสีผิวที่ขาวในหมู่คนไทยมีมานานกว่าสิบปีแล้ว มีผลิตภัณฑ์ช่วยให้สีผิวอ่อนจางลงออกสู่ท้องตลาดมากมาย ยังไม่นับรวมผลิตภัณฑ์ประเภทป้องกันแสงแดด หรือ ซันสครีนที่มีมาก่อนหน้า ยิ่งปัจจุบันกระแสความชื่นชอบดาราโดยเฉพาะจากประเทศเกาหลี ซึ่งมีภาพลักษณ์คือมีผิวพรรณที่ขาวสะอาดผ่องใส ก็ยิ่งทำให้คนไทยนิยมและปรารถนาจะมีผิวพรรณขาวผุดผ่องเช่นนั้นบ้าง  ทำให้มีการนำสารใหม่ ๆ มาใช้กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี กลูตาไธโอน หรือแม้กระทั่งการนำสมุนไพรไทยมาใช้เป็นเครื่องสำอาง

          กรณีกลูตาไธโอน ก็เคยเป็นข่าวครึกโครมมาแล้วซึ่งอันตรายเกิดจากการใช้สารนี้ฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อเร่งสีผิวให้อ่อนจางลงโดยไม่มีผลการวิจัยทางการแพทย์ยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ทำให้เกิดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น ภูมิต้านทานแสงแดดของผิวหนังและนัยน์ตาลดลงเป็นต้น หรือการฉีดวิตามินซี ซึ่งมักมีการฉีดร่วมกับกลูตาไธโอนโดยมีการอ้างว่าจะเสริมฤทธิ์ให้ผิวขาวได้ดีขึ้น กระแสการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  แพทยสภา และสถาบันโรคผิวหนัง ต้องออกมาประกาศเตือนและกำหนดมาตรการควบคุม ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวและระมัดระวังมากขึ้น

          ในฐานะผู้วิจัยเรื่องประโยชน์ทางเครื่องสำอางของแก่นมะหาด คิดว่ากรณีข้างต้นอาจมีส่วนทำให้ผู้ที่อยากมีผิวขาวใส หันมาสนใจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทางเลือกอื่น ๆ ทดแทนมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความนิยมใช้สมุนไพรไทยเป็นเครื่องสำอาง ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยประหยัดเงินตราให้ประเทศ สารสมุนไพรไทยเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายและมีราคาถูกกว่าสารนำสั่งจากต่างประเทศมาก วิธีใช้ก็เป็นการทาผิว ไม่ใช่เป็นการฉีดโดยตรง ความเสี่ยงจึงน้อยกว่า

          กรณีของแก่นมะหาดที่กำลังเกิดกระแสการซื้อขายโลชั่นผสมสารสกัด หรือหัวเชื้อแก่นมะหาดกันอย่างดาษดื่นโดยเฉพาะโฆษณาขายทางอินเทอร์เน็ตนั้น ผมเองก็เพิ่งทราบเรื่องไม่นาน เพราะงานวิจัยเรื่องมะหาดเป็นผลงานเดิมที่เคยรายงานไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว และได้หยุดการวิจัยเรื่องนี้ไปเพราะมีภาระหน้าที่อื่น ๆ แต่ระยะหลัง ๆ นี้คนสอบถามกันมามากขึ้น รวมถึงมีคนมาเล่าให้ฟัง จึงได้ไปสำรวจจากทางอินเทอร์เน็ต จึงค่อนข้างตกใจเพราะมีขายกันเต็มไปหมดและดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ


          จึงขอชี้แจงเรื่องผลการวิจัยมะหาดเพื่อความกระจ่างแก่คนทั่วไป  โดยเริ่มแรก ศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.กิตติศักดิ์ ลิขิตวิทยาวุฒิ จากภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ เป็นคนแรกที่ได้ทดสอบฤทธิ์ในหลอดทดลองของสารสกัดจากแก่นมะหาดและสารสำคัญที่มีอยู่ คือ ออกซีเรสเวอราทรอล (oxyresveratrol) ซึ่งพบว่าทั้งสารสกัดหยาบที่เรียกว่า “ปวกหาด” และตัวออกซีเรสเวอราทรอล ต่างก็มีฤทธิ์ที่่ดีมากในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรสิเนส ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการสร้างเม็ดสีเมลานิน ตัวการสร้างสีผิวในมนุษย์และสัตว์ให้มีความเข้มมากน้อยต่างกัน ผมและอาจารย์กิตติศักดิ์จึงได้วิจัยต่อตามลำดับขั้น โดยเริ่มยืนยันผลในสัตว์ทดลองคือหนูตะเภาก่อน               
          ซึ่งพบว่าทำให้สีผิวอ่อนจางลงได้ภายหลังการถูกกระตุ้นด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต (UV-B) จึงได้เริ่มขยายผลการทดลอง โดยเริ่มในอาสาสมัครจำนวนไม่กี่คนและขยายมาเป็น 60 คน พบว่าประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ ปวกหาดและออกซีเรสเวอราทรอลไม่แตกต่างกัน สาเหตุเพราะในปวกหาดที่ใช้มีความเข้มข้นของ ออกซีเรสเวอราทรอลอยู่มากกว่า 90% โดยเมื่อนำมาเตรียมอยู่ในรูปโลชั่นก็ได้ผลไม่ต่างจากเตรียมในรูปสารละลาย

จากการวิจัยพบว่า การใช้มะหาดเป็นสารช่วยให้สีผิวอ่อนจางลงมีข้อจำกัดอยู่บางประการ เช่น

1. ความคงตัว สารสกัดจากแก่นมะหาดที่ใช้เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ จะมีสีเหลืองอ่อน ๆ ซึ่งเมื่อเก็บไว้ไม่เกิน 3 เดือน สีก็จะเข้มขึ้นจนท้ายสุดจะเป็นสีน้ำตาล การใช้สารถนอมหรือพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ (antioxidant)  เติมลงในสูตรตำรับ จะช่วยชะลอการเปลี่ยนของสีให้ช้าลง แต่ก็ไม่เกิน 6 เดือน นอกจากนี้จากการวิเคราะห์ปริมาณออกซีเรสเวอราทรอลและฤทธิ์ในการต้านเอนไซม์ไทโรสิเนส พบว่าก็จะลดลงตามระยะเวลาด้วย การเก็บในตู้เย็นจะช่วยชะลอการเปลี่ยนสีให้ช้าลง แต่ก็จะยุ่งยากมากขึ้น

2. คุณภาพของสารสกัดปวกหาดมีความหลากหลาย ขึ้นกับแหล่งที่มา อาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องของคุณภาพและประสิทธิภาพได้ ในการวิจัยใช้สารสกัดซึ่งทราบปริมาณออกซีเรสเวอราทรอลที่แน่นอน และใช้ลอตเดียวตลอด ทำให้แปรผลได้ แต่การผลิตเชิงพาณิชย์ต้องมีการควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบ โดยเฉพาะเปอร์เซ็นต์ของออกซีเรสเวอราทรอลต้องมากกว่า 80% ขึ้นไป ถึงจะมั่นใจได้ว่ามีฤทธิ์ต้านไทโรสิเนส

3. มะหาดเป็นไม้ยืนต้นซึ่งใช้เวลาหลายปีจึงจะโต และต้องโค่นต้นเพื่อเอาแก่นมาใช้  การจะผลิตสารจากแก่นมะหาดอย่างยั่งยืนต้องมีการวางแผนการเพาะปลูกที่ดี ไม่ใช่ตัดมาจากธรรมชาติอย่างเดียว

4. เช่นเดียวกับสารจากธรรมชาติตัวอื่น ๆ ผลจากการใช้แก่นมะหาดจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปและเปลี่ยนแปลงไม่มาก อย่างดีที่สุดคือช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาใกล้เคียงกับสภาพดั้งเดิมตามกรรมพันธุ์ของตน การประเมินผลในงานวิจัยใช้เครื่องมือวัดความเข้มสีผิวที่มีความไวสูง ทำให้ตรวจพบความเปลี่ยนแปลงของสีผิวได้อย่างละเอียดเป็นตัวเลข ทำให้พบความแตกต่าง
ทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ แต่การประเมินผลด้วยสายตาอาจเห็นผลไม่เด่นชัด ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อการใช้ผลิตภัณฑ์  ระดับความพึงพอใจ ความรู้สึก และความช่างสังเกตของแต่ละบุคคล

เรื่องของสีผิวเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม เรื่องของกรรมพันธุ์นั้น เป็นเรื่องที่ทำอะไรกับมันไม่ได้ ต้องพอใจกับสีผิวของตน การมีสีผิวเข้มถือเป็นเกราะป้องกันจากธรรมชาติที่ให้มา ช่วยให้เรามีภูมิคุ้มกันต่อแสงแดด กระแสเรื่องผิวขาวเป็นเพียงค่านิยมเท่านั้น ซึ่งในวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไปก็อาจมีความนิยมที่ตรงข้ามกันก็ได้ เช่น ในประเทศแถบตะวันตกถึงขนาดลงทุนอาบแดดเสี่ยงกับมะเร็งผิวหนังเพื่อให้มีสีผิวเข้มขึ้น ส่วนเรื่องของสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมถึงพฤติกรรมของเรานั้น เป็นสิ่งที่เราควบคุมดูแลได้ เช่น การหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด การใช้ผลิต   ภัณฑ์กันแดดที่เหมาะสม การดูแลสุขภาพในองค์รวมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอทำอารมณ์ให้ผ่องใสไม่เครียด ทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร บ้าง อย่าง    น้อยเพื่อให้อุ่นใจ ถ้าไม่ลำบากเรื่อง เงินทอง หรือจะปฏิบัติธรรมเพื่อลดความอยากได้อยากมีต่าง ๆ ทำให้จิตใจสงบเพียงเท่านี้ร่างกายเราก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี ผิวพรรณที่สดชื่นเปล่งปลั่งก็จะมาเองโดยธรรมชาติ

สำหรับผู้ที่อยากฟื้นฟูสภาพผิวของตนให้กลับมาดีขึ้นอย่างน้อยให้ใกล้เคียงกับส่วนที่ไม่ถูกแดด และอยากจะลองใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยให้สีผิวอ่อนจางลง จะต้องตระหนักถึงความจริงต่อไปนี้ 
1. ไม่มีสารใดที่ทำให้ผิวขาวถาวร พอหยุดใช้ ผิวหนังก็จะกลับคืนสู่สภาพสีผิวเดิม สารที่สามารถทำให้ผิวขาวอย่างถาวรได้ แสดงว่าสารนั้นออกฤทธิ์โดยทำอันตรายต่อผิวหนังอย่างรุนแรง เช่น ฆ่าเซลล์สร้างสีผิว ซึ่งจะก่อให้เกิดผลร้ายตามมาอย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น สารกลุ่มไฮโดรควิโนน จะทำให้เกิดฝ้าหรือรอยด่างขาวถาวร และก่อให้เกิดอาการแพ้แสงได้ง่าย เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้ทาง อย. ของเราก็ห้ามใช้ในเครื่องสำอางอยู่แล้ว

2. ผิวที่ขาวขึ้น จะไม่ได้ขาวขึ้นอย่างรวดเร็ว และขาวจัดอย่างที่ต้องการ ดังนั้นการใช้จะต้องทาติดต่อกันนานหลายสัปดาห์ โดยจะค่อย ๆ ขาวขึ้นทีละน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความไวของการตอบสนองต่อสารทำให้ผิวขาวในผู้ใช้แต่ละคนด้วย

3. การใช้ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาว ต้องร่วมกับการป้องกันตนเองให้พ้นจากแสงแดดด้วย รังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีในแสงแดด เป็นตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีเมลานินให้มากขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดให้มากที่สุดโดยเฉพาะในช่วง 9 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมง ซึ่งมีความเข้มของรังสียูวีบี ที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังอยู่สูง ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด เช่น เสื้อแขนยาว สวมหมวก หรือกางร่ม รวมถึงป้องกันผิวด้วยการทาโลชั่นกันแสงแดด ซึ่งในผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวส่วนใหญ่จะใส่สารช่วยกรองรังสียูวีเอาไว้ด้วย เป็นการป้องกันร่วมกับการใช้สารช่วยลดการสร้างสีผิว

4. อย่าหลงเชื่อเป็นเหยื่อของโฆษณาเพียงเพราะความอยากขาว ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มั่นใจได้ว่าได้แจ้งกับทาง อย. เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาก็สามารถแจ้งกับทาง อย.ได้ถึงที่มาที่ไป ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรมักมีปัญหาเรื่องความคงตัวเนื่องจากคุณภาพของวัตถุดิบ รวมถึงอาจเกิดการแพ้จากสารอื่น ๆ ที่ผู้ผลิตเติมลงไปในผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจมีทั้งสารที่แจ้งและไม่ได้แจ้งไว้ในฉลาก

จะเห็นได้ว่า การปกป้องผิวให้พ้นจากแสงแดด จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะเป็นธรรมชาติ ปลอดภัยและประหยัดที่สุด ในการรักษาสภาพผิวไม่ให้เข้มขึ้นซึ่งยังช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้าเกิดฝ้า หรืออักเสบจากการถูกแดดเผาอีกด้วย.
นวพรรษ บุญชาญ


คัดลอกจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ชี้แจงกระแสใช้ 'มะหาด' เป็นสารช่วยให้ 'ผิวขาว' - คอลัม X-RAY สุขภาพ
วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2555 เวลา 07:00 น.
http://www.dailynews.co.th/article/1490/133547

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สำหรับสุภาพบุรุษ??


ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สำหรับสุภาพบุรุษ??





          ครึ้มอกครึ้มใจอย่างไรไม่ทราบ ถึงได้มานั่งเขียนบล็อกตอนตีสอง เอาเป็นว่าคง

คอนเซปเดิม อยากเขียนก็เขียน อยากทำก็ทำ อยากอ่านก็ลองดูนะครับ ^^


          ตอนนี้หลายๆคนมองไปทางไหนอาจจะเห็น ผลิตภัณฑ์แบ่งแยกกลุ่มออกไปมากขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย ฟอรเม็น ฟอร์แมน For MEN For MAN อะไรก็ว่ากันไป แรงบัลดาลใจในการเขียนเรื่องนี้ก็เพราะนี่แหละครับ ไปร้านสะดวกซื้อบัวเขียวเร่งด่วน ข้างมหาวิทยาลัย เหลือบไปเห็นชั้นวางสินค้ากลุ่มดูแลผิวพรรณเฉพาะของผู้ชายแยกออกมา เลยพูดกับเพื่อนว่า โห เดี๋ยวนี้ถึงกับต้องแยกกันอย่างนี้แล้วนะ !! หลายคนคงตั้งคำถามกับตัวเองแล้วซิ ว่าต้องเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายหรือเปล่า ก็ผมเป็นผู้ชาย 


          ตรงนี้เองที่ถูกจับขึ้นมาเป็นการทำการตลาด ซึ่งก็ได้ผลดีมากอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งหนุ่มๆเอง ก็หันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้น ว่ากันว่าเดิมทีสาวๆทุ่มทุนอลังการเพื่อหน้าใสเป๊ะกันไม่ยั้ง เท่าไหร่ไม่ว่าขอแค่ข้าสวย แต่ตอนนี้หนุ่มๆเค้าเอาบ้าง เพราะเห็นสาวๆตามกรี๊ดหนุ่มเกาหลีหน้าใสกันมากมาย จะยืนหน้าหมองเป็นพ่อค้าเกาเหลาปากซอยก็กระไรอยู่ เอาหล่ะ คราวนี้เรามาเข้าเรื่องเลยแล้วกัน


          จุดหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาโฆษณาคงเป็นเรื่องของ รูปลักษณ์ ความเป็นผู้ชาย  ซึ่งหลายคนก็บอกว่า ซื้อ เพราะมันระบุว่าเป็นของผู้ชายโดยตรง ใช้ของผู้หญิง เดี๋ยวเค้าจะหาว่าไม่ใช่ผู้ชาย หรือว่า อายคนอื่นมอง อืม อันนี้เป็นอะไรที่พูดยากนะ ในเรื่องของความรู้สึก เรามาดูความจริงกันดีกว่า ว่าเครื่องสำอางทั่วไป กับเครื่องสำอาง หรือครีมบำรุง ต่างๆของผู้ชาย ต่างกันตรงไหน


         อย่างแรกที่ชัดเจนคงเป็นกลิ่น กลิ่น มักเป็นกลิ่นน้ำหอมในแนวผู้ชาย ซึ่งก็ให้ความรู้สึกดี แต่บางผลิตภัณฑ์ ใส่มากเกินไป อันนี้ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวหน้า ต้องระวัง สำหรับหนุ่มผิวบอบบางแพ้ง่าย หรือเป็นสิว เพราะยิ่งน้ำหอมเยอะ โอกาสระคายเคือง หรือแพ้ก็มากตามไปด้วย

         อันดับที่สอง คงเป็นในเรื่องของความรู้สึกเมื่อใช้ เช่นมีการผสมพวก เมนทอล มินต์ ที่ทำให้รู้สึกหอมเย็นสดชื่น รู้สึกสะอาด รู้สึกว่ามันฆ่าเชื้อ ซึ่งมันก่อให้เกิดการระคายเคืองอ่อนๆ หนุ่มผิวบอบบาง ควรหลีกเลี่ยง
ส่วนผสมอื่นๆ โดยทั่วไปมักไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก แอคทีฟ หรือสารออกฤทธิ์ โดยส่วนใหญ่ก็เป็นตัวเดียวกัน

          บางยี่ห้อบอกว่า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้ชาย เหมาะสำหรับผิวหนาๆ ของผู้ชายมากกว่า สามารถซึมลึกได้มากกว่า อย่างที่บอกครับ ส่วนผสมแทบไม่มีอะไรแตกต่าง ดังนั้นจะของผู้ชาย ของผู้หญิง แทบไม่มีอะไรต่าง


          สรุปแล้วก็คือ ผลิตภัณฑ์ใดก็ได้ครับจะผู้หญิงผู้ชาย เพียงแต่เลือกให้เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น ผิวแห้ง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อครีม ให้ความชุ่มชื้นสูง แต่ถ้าผิวมัน เป็นสิวง่าย อันนี้ก็ต้องเลี่ยงพวกครีม หนืด ๆ หรือพวกที่มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบมากๆ เพราะ มันจะทำให้หน้าเยิ้ม และพาลจะอุดตันเป็นสิวอีก ควรใช้พวกซีรัม หรือ ปราศจากน้ำมัน (Oil free ) เป็นหลัก ส่วนยี่ห้อ หรือตัวไหนอะไรยังไง ต้องลองเองครับ ลางเนื้อชอบลางยา ไม่ต้องกลัวใครว่า ถ้าเราจะลุกขึ้นมาดูแลตัวเองบ้าง ขอให้หล่อใสสมใจครับผม ^^


Gusstation